วิดีโอการเผยแผ่ศาสนา

มุสลิมเชื่ออะไรเกี่ยวกับอีซา พระเยซู ขอความสันติจงมีแด่ท่าน
มุสลิมเชื่ออะไรเกี่ยวกับอีซา พระเยซู ขอความสันติจงมีแด่ท่าน

"มุสลิมเชื่ออะไรเกี่ยวกับอีซา (พระเยซู) ขอความสันติจงมีแด่ท่าน?" คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัย. สำหรับชาวมุสลิมแล้ว ศาสดาอีซา (พระเยซู) คือศาสดาผู้ยิ่งใหญ่และเป็นที่รักยิ่ง ท่านคือผู้ที่ได้รับภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ให้เรียกร้องมนุษยชาติสู่การบูชาพระเจ้าเพียงผู้เดียว โดยไม่มีผู้ใดเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์. เช่นเดียวกับศาสดามูฮัมหมัด ท่านถูกส่งมาเพื่อเป็นผู้นำทางสู่สวรรค์และหนทางแห่งความจริง. มุสลิมเชื่อในการกำเนิดอันปาฏิหาริย์ของท่านโดยไม่มีบิดา ตามที่อัลกุรอานระบุไว้ ซึ่งแสดงถึงเดชานุภาพอันไร้ขีดจำกัดของพระองค์. สิ่งสำคัญคือ มุสลิมยืนยันว่าอีซาไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่บุตรของพระเจ้า และท่านมิได้ถูกตรึงกางเขน. แต่ทว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงยกท่านขึ้น และท่านจะกลับมาอีกครั้งในยุคสุดท้ายในฐานะผู้ตัดสินที่ยุติธรรม. อัลกุรอานเปิดเผยว่าสารดั้งเดิมของท่าน ซึ่งเน้นย้ำถึงเอกภาพของพระเจ้า ได้ถูกบิดเบือนไปในภายหลัง. แท้จริงแล้ว ศาสดาอีซาได้สอนให้ผู้คนบูชาผู้สร้างของพวกเขาเสมอ มิใช่ตัวท่านเอง. ในวันกิยามะฮฺ ศาสดาอีซาจะปฏิเสธผู้ที่บูชาท่าน เพราะท่านได้นำคำสอนเรื่องการบูชาพระเจ้าองค์เดียวมาโดยตลอด. มุมมองนี้สะท้อนความเคารพอย่างสุดซึ้งและหลักการเตาฮีด (เอกภาพของพระเจ้า) ที่ชาวมุสลิมยึดมั่นต่อศาสดาอีซา.

ผู้ที่ต้องการความรอดในโลกหน้า ต้องเข้ารับศาสนาอิสลามและปฏิบัติตามศาสดามูฮัมหมัด ขอความสันติจงมีแ
ผู้ที่ต้องการความรอดในโลกหน้า ต้องเข้ารับศาสนาอิสลามและปฏิบัติตามศาสดามูฮัมหมัด ขอความสันติจงมีแ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาหนทางแห่งความรอดในชีวิตหลังความตาย ข้อความนี้ได้นำเสนอแนวคิดหลักของศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน โดยเน้นย้ำว่าผู้ที่ปรารถนาความสุขนิรันดร์ในโลกหน้า จะต้องน้อมรับอิสลามเป็นศาสนา และปฏิบัติตามแบบอย่างอันประเสริฐของศาสดามูฮัมหมัดอย่างเคร่งครัด นี่คือสารที่เชื้อเชิญให้พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ และการดำเนินชีวิตภายใต้หลักการอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การได้รับความเมตตา และความสงบสุขที่แท้จริงจากพระผู้เป็นเจ้า มอบเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับผู้ศรัทธาที่แสวงหาสันติภาพนิรันดร์.

พระเจ้าผู้ทรงถูกบูชาจะต้องมีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์
พระเจ้าผู้ทรงถูกบูชาจะต้องมีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์

พระเจ้าผู้ทรงถูกบูชาจะต้องมีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์ คือสัจธรรมอันเป็นรากฐานของศรัทธาที่แท้จริง พระองค์คือผู้สร้างสรรพสิ่งผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสมบูรณ์ไร้ที่ติ ไม่มีข้อบกพร่องแม้เพียงน้อยนิด การสักการะจึงเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมสำหรับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงคุณลักษณะอันยิ่งใหญ่ พระองค์มิใช่สิ่งถูกสร้างใดๆ ไม่ใช่มนุษย์ สัตว์ หรือรูปปั้น ที่ถูกสร้างขึ้นและมีจุดจบ มิได้มีกำเนิดเยี่ยงมนุษย์ ไม่เคยถูกตรึงกางเขน หรือเผชิญความอับอายและความตายเยี่ยงปุถุชน พระองค์ทรงเป็นอมตะ ไม่ทรงลืม ไม่ทรงหลับใหล ไม่ทรงต้องพึ่งพาอาหารหรือปัจจัยใดๆ ทรงปราศจากคู่ครองหรือบุตร ซึ่งล้วนเป็นคุณลักษณะของสิ่งที่ขาดความสมบูรณ์ มีแต่ผู้ทรงพลังอำนาจสูงสุดเท่านั้น ที่คู่ควรแก่การน้อมกราบสักการะและยึดมั่นเป็นที่พึ่ง เพราะสิ่งอื่นที่ถูกบูชา นอกเหนือจากพระองค์ ล้วนอ่อนแอและไม่อาจให้คุณหรือโทษใดๆ ได้ นี่คือปัญญาที่พระองค์ประทานแก่เรา ให้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่และความสมบูรณ์ของพระองค์ผู้ทรงเดียว

เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าจะทิ้งเราไว้โดยไม่มีการวิวรณ์
เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าจะทิ้งเราไว้โดยไม่มีการวิวรณ์

เคยสงสัยไหมว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างประณีตและเปี่ยมด้วยปัญญาจะทรงทอดทิ้งมนุษย์ไว้โดยไร้ซึ่งการชี้นำหรือจุดมุ่งหมาย? คำถามสำคัญที่ว่าเรามาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร และอะไรจะเกิดขึ้นหลังความตาย ล้วนเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงละเลยให้เราครุ่นคิดโดยปราศจากคำตอบ อันที่จริง พระองค์ได้ทรงเมตตาส่งศาสดาผู้ทรงเกียรติมากมาย อาทิ นูห์ อิบรอฮีม มูซา และอีซา มาเพื่อเปิดเผยความจริงอันสูงสุด และบอกเราถึงเป้าหมายของการมีอยู่ นั่นคือการรู้จักและเคารพสักการะพระองค์แต่เพียงผู้เดียวอย่างถูกต้อง ศาสดาเหล่านี้ได้นำพาคำสั่งสอนอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนด ข้อห้าม และแนวทางการดำเนินชีวิตที่เปี่ยมด้วยจริยธรรมอันงดงาม เพื่อให้ชีวิตของเราบนโลกนี้เต็มไปด้วยความดีงามและนำไปสู่ความสุขนิรันดร์ในปรโลก พร้อมทั้งแสดงปาฏิหาริย์เพื่อยืนยันสาส์นจากฟากฟ้า และเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเป็นศาสดาที่แท้จริงจากพระองค์ ศาสดามูฮัมหมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) คือศาสดาท่านสุดท้ายที่ได้รับพระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งยืนยันว่าชีวิตบนโลกนี้คือบททดสอบอันสำคัญยิ่ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์หลังความตาย โดยมีสวรรค์อันรื่นรมย์สำหรับผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามคำสอน และไฟนรกอันเจ็บปวดสำหรับผู้ปฏิเสธ ที่ไม่ยอมรับพระเจ้าและบรรดาศาสดาของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า “พวกเจ้าคิดว่า แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดมาโดยไร้ประโยชน์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเรากระนั้นหรือ” (23:115) ซึ่งเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของการวิวรณ์และจุดหมายปลายทางอันยิ่งใหญ่ที่เราทุกคนต้องเผชิญ

ทำไมศาสดาถึงมีหลายท่าน
ทำไมศาสดาถึงมีหลายท่าน

สงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดพระผู้เป็นเจ้าจึงประทานศาสดามามากมายหลายท่านตลอดประวัติศาสตร์? คำตอบคือ พระองค์ทรงเมตตาและประสงค์จะนำทางมนุษยชาติกลับคืนสู่สัจธรรมเสมอมา โดยได้ส่งศาสดาแต่ละท่านมาเพื่อเชิญชวนผู้คนให้รู้จักพระองค์ และนำคำสั่งพร้อมข้อห้ามอันเป็นวิถีชีวิตที่ถูกต้องมาสู่มนุษย์ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเริ่มห่างเหินจากคำสอนดั้งเดิม หรือบิดเบือนสาสน์ ศาสดาองค์ใหม่ก็จะถูกแต่งตั้งขึ้น เพื่อแก้ไขเส้นทางที่คดเคี้ยว และนำพามนุษย์ให้กลับสู่ฟิตเราะห์ที่บริสุทธิ์ ด้วยการยอมรับและภักดีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว กระบวนการนี้ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเป็นศาสดาท่านสุดท้าย ได้ถูกประทานมาพร้อมกับบทบัญญัติอันเป็นนิรันดร์และครอบคลุมทุกยุคสมัยสำหรับมนุษยชาติทั้งหมดจวบจนวันสิ้นโลก บทบัญญัตินี้เสริมและยกเลิกกฎหมายก่อนหน้า โดยพระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำประกันว่าศาสนาอิสลามและอัลกุรอานจะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้น ชาวมุสลิมจึงศรัทธาในศาสดาและคัมภีร์ทุกเล่มที่ถูกประทานมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด เป็นการยืนยันความต่อเนื่องและครบถ้วนสมบูรณ์ของสาสน์จากพระผู้เป็นเจ้า

ลำดับขั้นตอนในการทำสงคราม
ลำดับขั้นตอนในการทำสงคราม

ความเข้าใจลำดับขั้นตอนในการทำสงครามไม่ใช่เพียงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ แต่คือการหยั่งรู้ถึงรากฐานแห่งความมั่นคงของชาติ กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการประเมินสถานการณ์ และรวบรวมข้อมูลข่าวกรองอย่างรอบด้าน ตามมาด้วยการวางแผนยุทธศาสตร์และกำหนดกลยุทธ์อันแยบยล จากนั้นจึงเข้าสู่การเตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้พร้อมรบ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงปฏิบัติการรบ ที่ต้องใช้ทั้งความกล้าหาญและไหวพริบ และปิดท้ายด้วยการจัดการหลังสงคราม เพื่อฟื้นฟูและสร้างเสถียรภาพ แต่ละขั้นล้วนมีความสำคัญและส่งผลต่อภาพรวมของชัยชนะและความสูญเสีย การศึกษาเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในมิติของความขัดแย้งที่ซับซ้อน

تطوير midade.com

جمعية طريق الحرير للتواصل الحضاري