อัลลอฮฺได้เรียกคัมภีร์เล่มสุดท้ายของพระองค์ว่า “อัลกุรอาน” เป็นการบ่งชี้ว่ามันจะถูกอ่านและถูกปกปักรักษาไว้ในหัวใจ และพระองค์ก็ยังได้เรียกอัลกุรอานในหลายต่อหลายโองการว่า “อัล-กิตาบ” เป็นการบ่งชี้ว่าอัลกุรอานได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ซึ่งทำให้อัลกุรอานถูกปกปักรักษาในสองลักษณะนี้ไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น เมื่อมีโองการใดก็ตามถูกประทานลงมายังท่านศาสนทูต ก็จะมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าท่าน และจะถูกท่องจำด้วยการถ่ายทอดจากปากของท่าน และไม่ว่าพยานที่เป็นบรรดานักท่องจำจะมากมายกี่คนก็ตาม ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับจนกว่ามันจะสอดคล้องกับสิ่งที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรจะไม่เป็นที่ยอมรับ หากมันไม่ตรงกับสิ่งที่ถูกท่องจำมาจากปากของท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ
"จงเรียกร้องสู่ทางแห่งพระเจ้าของเจ้า ด้วยสติปัญญา และด้วยการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยแนวทางที่ดียิ่ง แท้จริงพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่งว่าใครเป็นผู้หลงทางจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งว่าใครคือผู้ที่ได้รับทางนำ"